ตามปกติแล้วแสงสว่างภายในบ้านมักจะถูกตกแต่งด้วยโคมไฟที่มีความสวยงาม เก๋ไก๋ มีรูปแบบไม่ซ้ำใคร หรือจะเน้นไปที่ความหรูหราอย่างโคมไฟระย้าที่เหมาะสำหรับการตกแต่งภายในห้องที่ต้องการเพิ่มจุดเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งโคมไฟที่กำลังได้รับความนิยม ถูกนำมาใช้สร้างสรรค์ เติมความสว่างและสร้างจุดน่าสนใจภายในบ้านได้ไม่แพ้โคมไฟแบบอื่นๆ นั่นก็คือ "โคมไฟดาวน์ไลท์" ที่มีคุณสมบัติในการใช้งานที่ช่วยให้แสงสว่างได้อย่างทั่วถึงเท่ากันทุกบริเวณ สามารถนำไปใช้งานได้ทุกห้องภายในบ้าน หากตกแต่งได้อย่างเหมาะสมแล้ว โคมไฟจะกลายเป็นตัวช่วยผ่อนคลายอารมณ์ เปลี่ยนบ้านให้เป็นวิมานของการพักผ่อนอย่างเต็มรูปแบบได้ไม่แพ้โรงแรมหรูระดับห้าดาวกันเลยทีเดียว
โคมไฟดาวน์ไลท์ คุณสมบัติน่าสนใจที่ให้มากกว่าแสงสว่าง
โคมไฟดาวน์ไลท์ อาจจะไม่ค่อยเป็นตัวเลือกที่คุ้นหูเท่าไหร่นัก นอกจากคนที่หลงใหลการแต่งบ้าน สนใจในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งลักษณะของโคมไฟชนิดนี้จะถูกติดตั้งเพื่อช่วยเติมแสงสว่างให้ทั่วถึงกันในบริเวณที่ต้องการ จึงสามารถนำไปใช้เพื่อการตกแต่งห้องได้ทุกห้อง อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้คู่กับโคมไฟรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้เกิดความสวยงาม เข้ากับบรรยากาศของห้องได้อีกด้วย
การเลือกใช้ดาวน์ไลท์อาจจะต้องระวังเรื่องความแบนของมิติ ดังนั้นหากต้องการติดตั้งหลอดไฟชนิดนี้เพียงอย่างเดียว จึงควรเลือกเป็นแบบมุมกว้างและแคบแตกต่างกันไป คล้ายคลึงกับโคมไฟแขวนเพดาน แสงสว่างจึงถูกส่งลงมาจากด้านบน มีข้อดีคือแสงไม่แยงตา ต่างจากดวงไฟแบบอัพไลท์ที่สาดแสงจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน ดังนั้นจะไม่เหมาะกับการใช้งานตกแต่งภายในบ้านเหมือนดาวน์ไลท์
ข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อโคมไฟดาวน์ไลท์ไม่ให้ผิดพลาด
ข้อมูลหลักๆ สำหรับมือใหม่ที่ต้องการตกแต่งบ้านด้วยโคมไฟติดเพดานที่จะช่วยสร้างบรรยากาศให้บ้านดูเป็นแนวทันสมัยหรือบางครั้งก็ยังถูกนำไปใช้ในการออกแบบที่พักสไตล์ลอฟท์ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเลือกลักษณะของดาวน์ไลท์ขั้นพื้นฐานคือให้ดูที่วิธีใส่หลอดไฟ โดยจะมีทั้งแบบหลอดแนวตั้ง จัดว่าเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมาที่สุด เช่น หลอดตะเกียบ และหลอดไส้ เป็นต้น ส่วนอีกประเภทคือหลอดไฟในแนวนอน เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องควบคู่กับหลอดตะเกียบ จะเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ใต้ฝ้าจำกัด
ชนิดของโคมไฟดาวไลท์ที่ควรเลือกใช้ให้ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย
ถัดมาคือการสังเกตข้างโคมไฟ ซึ่งจะมีเลขรหัสบอกชนิด "ขั้วหลอดไฟ" ที่เข้ากันได้ ทั้งนี้รหัสขั้วจะมีให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ที่นำมาใช้เพื่อการตกแต่งบ้านมักจะเป็นเลข E27 จะเป็นขั้วเกลียวหมุนเข้าไปได้ สามารถใส่กับหลอดปิงปอง, หลอดไส้ทรงกรวย, หลอดไส้ และหลอดตะเกียบ หากเป็นเลข GU4 จะใส่คู่กับหลอดฮาโลเจน และอีกหนึ่งเลขรหัสคือ G23 ใช้กับหลอดไฟที่เป็นหลอดตะเกียบชนิดไม่มีขั้วเขี้ยวและบัลสาสในตัว อย่าลืมที่จะสังเกตขนาดของโคมไฟให้พอดีกับการติดตั้งใต้ฝ้าเพดาน เว้นพื้นที่ระบายความร้อนใต้ฝ้าเอาไว้ด้วยอีก 5 เซนติเมตร สุดท้ายคือพื้นผิวสะท้อนออกมาจากโคมไฟ หากต้องการความนุ่มละมุนแสงไม่แยงตา ควรเลือกผิวสะท้อนเป็นแบบ Sand Blast & Line Facet หรือหากต้องการเพิ่มความเปล่งประกาย เน้นสดใสก็เลือกเป็นแบบ Beehive Facet ในส่วนของห้องที่ต้องการแสงสว่างมาก ให้เลือกแบบ Clear Anodized ซึ่งจะมีพื้นผิวด้านในโคมมันวาว แสงที่ได้จะมีความสว่างเป็นพิเศษ
โทนสีของหลอดไฟจากดาวน์ไลท์กับการใช้งานที่เหมาะสม
สีและความสว่างของหลอดไฟที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบ คือหนึ่งในความสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนอารมณ์ให้เกิดความผ่อนคลาย มีชีวิตชีวา สบายตา หรือเกิดความรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้น ก็ขึ้นอยู่กับแสงสว่างที่ถูกส่องออกมาด้วย สีของหลอดไฟที่จะนำไปใช้ จึงควรเลือกให้เหมาะกับห้องที่ใช้งาน ปัจจุบันหลักๆ มีให้เลือกด้วยกันสามสี คือสีขาว, สีกลางระหว่างขาวเหลือง และสีส้มเหลือง กรณีการเลือกใช้โคมไฟแบบดาวน์ไลท์สำหรับห้องต่างๆ หากไม่มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ก็ให้เลือกตามความชอบใจของผู้อยู่อาศัยได้เลย แต่หากเอาตามหลักสักหน่อย ห้องนอนและห้องนั่งเล่นให้เลือกเป็นโทนสีสบายตา เน้นความผ่อนคลาย ไม่เน้นสีเหลืองมากจนเกินไป ส่วนห้องครัวและห้องน้ำ เน้นรายละเอียดมาก อาจเลือกเป็นโทนสีขาวเป็นหลักเพื่อช่วยให้เกิดความสว่างได้อย่างทั่วถึง ตามด้วยการเลือกรูปทรงโคมด้านนอกของดาวน์ไลท์ให้เหมาะสมกับสไตล์ของบ้าน
ด้วยเสน่ห์ของโคมไฟดาวน์ไลท์ มีลักษณะใกล้เคียงกับโคมไฟแขวนเพดาน ทดแทนการใช้งานของโคมไฟระย้า จึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานเพื่อตกแต่งห้องพักที่มีพื้นที่จำกัด เน้นส่องสว่างจากด้านบนลงด้านล่าง สามารถปรับองศาของแสงที่ส่องลงมาได้ตามต้องการ ให้เกิดมิติที่เข้ากันกับห้องแต่ละห้องได้อย่างสวยงาม